การจดทะเบียนรถปิกอัพ 2 และ 4 ประตู

โดย: CBN [IP: 61.47.105.xxx]
เมื่อ: 2013-10-30 16:00:35


วันนี้เอาสาระเล็กๆน้อยๆมาฝากค่ะ เกี่ยวกับการจดทะเบียนประเภทของรถยนต์ปิคอัพ 4 ประตู และ 2 ประตู ตลอดจนการดัดแปลงแก้ไขสภาพรถ

การดัดแปลงแก้ไขสภาพรถกระบะบรรทุกในลักษณะต่างๆ เพื่อการใช้งาน เช่น นำรถปิคอัพ 4 ประตู ที่ขอจดทะเบียนเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน ลักษณะนั่งสองตอนสองแถว ไปดัดแปลงลักษณะรถให้ผิดไปจากรายการที่จดทะเบียน ด้วยการถอดโครงหลังคาและเบาะนั่งตอนท้ายออก โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน หรือนำรถกระบะบรรทุกไปติดตั้งโครงหลังคาเพื่อใช้งาน โดยมิได้ดำเนินการทางทะเบียนให้ถูกต้อง เป็นต้น ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามมาตรา 14 แห่งพะราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ฐานเปลี่ยนแปลงตัวรถหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของรถและใช้รถนั้น ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท

สำนักงานขนส่งฯ จึงประชาสัมพันธ์ให้เจ้าของรถปิคอัพ 4 ประตู และรถปิคอัพ 2 ประตู ดำเนินการให้ถูกต้องตามประเภทและลักษณะของรถ ดังนี้

1. รถยนต์ปิคอัพ 4 ประตู สามารถนำไปจดทะเบียนได้ 2 ประเภท คือ

1.1. กรณีที่ไม่มีการต่อเติมใส่หลังคาและเบาะนั่ง จดทะเบียนเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ลักษณะนั่งสอบตอนท้ายบรรทุก แผ่นป้ายทะเบียนเป็นพื้นสีขาว ตัวอักษร ตัวเลข และขอบแผ่นป้ายเป็นสีดำ การจัดเก็บภาษีรถให้เก็บตามความจุกระบอกสูบ (CC) ของเครื่องยนต์

1.2. กรณีที่มีการดัดแปลงต่อเติมกระบะท้ายรถ โดยการใส่หลังคาและเบาที่นั่ง จะต้องติดตั้งโครงหลังคาและจัดวางที่นั่งลักษณะสองแถวเพิ่มเติม ทำให้มีจำนวนที่นั่งโดยสารเกิน 7 ที่นั่ง โดย

• หลังคา ต้องมีความสูงจากพื้นกระบะถึงจุดต่ำสุดภายในหลังคาไม่ต่ำกว่า 120 เซนติเมตร ซึ่งทำด้วยวัสดุโลหะ ไฟเบอร์กลาส หรือวัสดุอื่นใดที่มีความแข็งแรงเทียบเท่าวัสดุดังกล่าว และต้องยึดติดตรึงแน่นหนาถาวรกับตัวรถ

• ที่นั่งและพนักพิง ต้องยึดติดตรึงแน่นหนาถาวรกับตัวรถและพื้นของรถ สามารถใช้นั่งโดยสารได้อย่างปลอดภัย

• ที่นั่งต้องมีความสูงจากพื้นกระบะ ถึงจุดสูงสุดของที่นั่งไม่น้อยกว่า 25เซนติเมตร และมีความสูงจากจุดสูงสุดของที่นั่ง ถึงจัดต่ำสุดภายในหลังคาไม่น้อยกว่า 95 เซนติเมตร จดทะเบียนเป็นรถนยต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน ลักษณะนั่งตอนสองแถว แผ่นป้ายทะเบียนพื้นสีขาว ตัวอักษร ตัวเลข และขอแผ่นป้ายสีน้ำเงิน การเก็บภาษีรถให้เก็บตามน้ำหนักรถ

2. รถปิคอัพ 2 ประตู จดทะเบียนได้ 2 ประเภทคือ

2.1. กรณีที่มีการดัดแปลงต่อเติมกระบะท้าย โดยการใส่หลังคาและเบาะที่นั่ง จะต้องติดตั้งโครงหลังคาและจัดวางที่นั่งลักษณะสองแถว เช่นเดียวกับ ข้อ 1.2 ทำให้จำนวนผู้โดยสารมีที่นั่งเกิน 7 คน จดทะเบียนเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน ลักษณะนั่งสองแถวแผ่นป้ายทะเบียนพื้นสีขาว ตัวอักษร ตัวเลข และขอแผ่นป้ายสีน้ำเงิน การเก็บภาษีรถให้เก็บตามน้ำหนักรถ

2.2. กรณีไม่มีการดัดแปลงต่อเติมกระบะท้าย หรือมีการต่อเติมกระบะท้าย เช่น ใส่โครงหลังคา ต่อเติมเสริมกระบะเหล็ก หรือต่อเติมด้านหลังคาโดยมีฝาปิดด้านข้างและด้านซ้าย จดทะเบียนเป็นรถยนต์ส่วนบุคคล ลักษณะต่าง ๆ เช่น ลักษณะกระบะบรรทุก (ไม่มีหลังคา) กระบะบรรทุก (มีหลังคา) กระบะบรรทุก (เสริมกระบะข้าง) กระบะบรรทุก (มีหลังคาปิดด้านข้าง-ท้าย) เป็นต้น แผ่นป้ายทะเบียนพื้นสีขาว ตัวอักษร ตัวเลข และขอแผ่นป้านสีเขียว การเก็บภาษีรถให้เก็บตามน้ำหนักรถ

ค่าภาษีรถตามรายละเอียดด้านล่างค่ะ ขึ้นอยู่กับปริมาตรกระบอกสูบ หรือน้ำหนักรถของประเภทรถที่จะจดทะเบียน ลองคำนวณกันนะคะว่ารถของคุณจัดอยู่ในกลุ่มไหนและต้องเสียค่าภาษีเป็นจำนวนเท่าไหร่

1. รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน เก็บภาษีตามความจุกระบอกสูบรวมกันของเครื่องยนต์ในอัตราดังนี้

1.1. 600 ลูกบาศก์เซนติเมตรแรก ลูกบาศก์เซนติเมตรละ 0.50 บาท

1.2. ส่วนที่เกิน 600 ลูกบาศก์เซนติเมตร แต่ไม่เกิน 1800 ลูกบาศก์เซนติเมตร ลูกบาศก์เซนติเมตรละ 1.50 บาท

1.3. ส่วนที่เกิน 1800 ลูกบาศก์เซนติเมตร ลูกบาศก์เซนติเมตรละ 4.00 บาท

รถยนต์ตามข้อ 1. ที่นิติบุคคลเป็นเจ้าของ และมิได้ให้บุคคลธรรมดาเช่าซื้อในการประกอบกิจการเกี่ยวกับการให้เช่าซื้อของนิติบุคคลนั้น ให้เก็บภาษีในอัตราสองเท่า

2. รถยนต์ส่วนบุคคลเกิน 7 คน เก็บภาษีตามน้ำหนักของรถ ในอัตราดังนี้

• น้ำหนักไม่เกิน 500 กก. กิโลกรัมละ 1 บาท

• น้ำหนักตั้งแต่ 501-1000 กก. กิโลกรัมละ 2 บาท (น้ำหนักส่วนที่เกิน 1000 กก.) กิโลกรัมละ 4 บาท

• น้ำหนักตั้งแต่ 1001-1250 กก. คันละ 800 บาท

• น้ำหนักตั้งแต่ 1251-1500 กก. คันละ 1000 บาท

• น้ำหนักตั้งแต่ 1501-1750 กก. คันละ 1300 บาท

• น้ำหนักตั้งแต่ 1751-2000 กก. คันละ 1600 บาท

• น้ำหนักตั้งแต่ 2001-2500 กก. คันละ 1900 บาท

• น้ำหนักตั้งแต่ 2501-3000 กก. คันละ 2200 บาท

• น้ำหนักตั้งแต่ 3001-3500 กก. คันละ 2400 บาท

• น้ำหนักตั้งแต่ 3501-4000 กก. คันละ 2600 บาท

• น้ำหนักตั้งแต่ 4001-4500 กก. คันละ 2800 บาท

• น้ำหนักตั้งแต่ 4501-5000 กก. คันละ 3000 บาท

• น้ำหนักตั้งแต่ 5001-6000 กก. คันละ 3200 บาท

• น้ำหนักตั้งแต่ 6001-7000 กก. คันละ 3400 บาท

• น้ำหนักตั้งแต่ 7001 กก.ขึ้นไป คันละ 3600 บาท





#1 โดย: ตะพาบ น้ำเค็ม [IP: 49.229.238.xxx]
เมื่อ: 2023-12-12 10:10:09
ดีครับอ่านแล้วเข้าใจง่าย

ชื่อผู้ตอบ: